วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การเริ่มเดือนรอมฎอน

บรรดาศรัทธาชนต่างผินสายตาของพวกเขาสู่ฟากฟ้าเพื่อค้นหาดวงจันทร์เเรกของเดือนรอมฎอน พวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มๆเเต่ละท้องที่ เพื่อรอคอยการยืนยันถึงการเห็นดวงจันทร์ของเดือนรอมฎอนด้วยหัวใจที่ปลื้มปิติ เพราะท่านรอซูล ซ.ล. ได้กล่าวไว้ว่า

“ท่านทั้งหลายจงถือศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์ เเละจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์ ถ้าหากมีสิ่งใดบดบัง (ดวงจันทร์) แก่ท่านทั้งหลาย ก็จงนับเดือนชะอ์บานให้ครบ 30 วัน”

นี้เป็นความรู้สึกที่ดียิ่ง หรือภาพพจน์ที่ดีงาม ซึ่งเเสดงออกถึงเจตนารมณ์ที่เเน่วเเน่ในการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นอิบาะฮ์ที่พระองค์อัลเลาะฮ์ทรงบัญญัติมา พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในหะดีษกุดซีย์ว่า

“การงานของลูกหลานอาดัมเป็นของเขานอกจากการถือศีลอดมันเป็นของข้า และข้าจะตอบเเทนมัน”

การถือศีลอดได้ถูกระบุไว้ในอัลกุรอานว่าเป็นฟัรฎูเพียงหนึ่งครั้ง ในขณะที่บัญญัติอื่นๆเช่น การละหมาด การประกอบพิธีฮัจญ์ การบริจาคซากาต การญิฮาด (ต่อสู้ในหนทางของอัลเลาะฮ์) เเละการงานที่ประเสริฐต่างๆได้ถูกกล่าวไว้ในกุรอานหลายครั้ง เเละในหลายอายะฮ์ เหมือนกับว่าพระองค์อัลเลาะฮ์ได้ให้ความสำคัญต่อการถือศีลอดมากกว่าบัญญัติอื่นๆ พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดให้การถือศีลอดเป็นหน้าที่จำเป็น ดังอายะฮ์ที่ว่า

“โอ้ ศรัทธาชนทั้งหลาย การถือศีลอดได้ถูดกำหนดเเก่สูเจ้าทั้งหลายเเล้ว”

พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงใช้ถ้อยคำเรียกบรรดามุมินทั้งหลาย ก่อนที่จะกล่าวถึงบัญญัติศาสนาด้วยถ้อยคำที่สละสลวยว่า “โอ้ ศรัทธาชนทั้งหลาย” เป็นการเสริมความสัมพันธ์ที่ดีงามดังคำพูดของอิบนิมัสอูด กล่าวว่า “เมื่อท่านได้เห็นพระองค์อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า โอ้ ศรัทธาชนทั้งหลาย ท่านก็จงตั้งใจฟังเถิด เพราะพระองค์จะทรงตรัสใช้ให้ปฏิบัติความดีหรือให้ละเว้นการทำชั่ว”

พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงชี้เเจงว่า ประชาชาติก่อนๆก็ได้ถือศีลอดเช่นเดียวกัน ดังที่พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงตรัสว่า

“โอ้ บรรดาศรัทธาชนทั้งหลาย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดเเก่สูเจ้าทั้งหลาย ดังที่ได้ถูกกำหนดแก่ประชาชาติก่อนพวกสูเจ้า เพื่อว่าพวกสูเจ้าทั้งหลายจะยำเกรง” ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ /183)

บรรดานักปราชญ์ต่างพยายามค้นคว้าว่า การถือศีลอดที่ถูกกำหนดนั้นมีจำนวนวันเเละเวลาเท่ากับการถือศีลอดของประชาชาติ นบีมูฮำหมัดหรือไม่? พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดการถือศีลอดให้แก่ชาวยิวเเละครีสเตียน แล้วพวกเขาได้เปลี่ยนเเปลงวิธีการเสีย หรือว่าพระองค์ได้ทรงกำหนดการถือศีลอดเเก่ประชาชาติก่อนทั้งหมด หรือว่ารูปเเบบของการถือศีลอดเป็นเพียงการงดเว้นการกินเเเละการดื่มขณะที่ถือศีลอดเท่านั้น

ศ. อาลี อัลดุลวาฮีด วาฟี ได้เขียนบทวิจัยภายใต้หัวข้อเรื่อง “การถือศีลอดของประชาชาติก่อนๆ” พิมพ์เผยเเพร่ในนิตรยสาร “ริซาละฮ์กอฮิรียะฮ์” อันดับที่ 1096 วันที่ 12 รอมฎอน ฮ.ศ. 1384 ตรงกับวันที่ 14 มกราคม 2508

พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงชี้แจงถึงเป้าหมายของการถือศีลอดไว้ว่า ไม่เป็นเพียงเเต่การงดเว้นอาหาร เครื่องดื่ม เเละการเสพความสุข ในตอนกลางวันของเดือนรอมฎอนเท่านั้น เเต่เพื่อที่จะฝึกจิตใจของเขาให้มีความยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์ เขาก็ไม่ได้ถือศีลอดอย่างเเท้จริง ท่านนบีมูฮำหมัด ซ.ล. กล่าวว่า

“มีผู้ถือศีลอดจำนวนมากที่ไม่ได้รับผลจากการถือศีลอดนอกจากความหิวโหยเเละความกระหาย”

ท่านรอซูล ซ.ล. กล่าวต่อไปอีกว่า

“ผู้ใดที่ไม่ละทิ้งคำพูดที่ไร้สาระ และการกระทำตามคำพูดนั้นก็ไม่มีความต้องการใดๆสำหรับอัลเลาะฮ์ในการที่เขาได้ละทิ้งอาหารและเครื่องดื่มของเขา”

การถือศีลอดที่เเท้จริงจะสามารถระงับอารมณ์ไฝ่ต่ำจะทำให้มูลเหตุที่ทำให้การทำความชั่วหมดไป เพราะการถือศีลอดเป็นโล่ พระองค์อัลเลาะฮ์ก็ได้ทรงกำหนดให้การถือศีลอดในวันเฉพาะที่กำหนดเเน่นอน เเละเพื่อไม่สร้างความลำบากยากเเก่บรรดามุมินผู้ศรัทธาพระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงผ่อนปรนการถือศีลอดให้แก่บุคคลต่อไปนี้

“บรรดาวันที่เเน่นอน ดังนั้นผู้ใดในพวกสูเจ้าเจ็บป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง ดังนั้นจงเลื่อนการถือศีลอดไปในวันอื่น เเละบรรดาผู้ที่ถือศีลอดทำให้เกิดความลำบากยาก ก็จงจ่ายอาหารให้เเก่ผู้ขัดสน ดังนั้นผู้ใดที่อาสาเสริมในความดีก็เป็นการดีสำหรับเขา เเละการถือศีลอดจะเป็นการดีสำหรับสูเจ้าทั้งหลาย ถ้าหากสูเจ้าทั้งหลายรู้” ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ /184

สำหรับผู้ที่เจ็บป่วยไม่เป็นภาระหนัก หรือการเดินทางมีความสะดวกสบาย หรือความชราไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการถือศีลอดให้เเก่เขา ก็สมควรที่เขาจะถือศีลอด เพราะว่านั่นเป็นการดีสำหรับเขา พระองค์อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวไว้ในหะดีษกุดซีย์ว่า

“การถือศีลอดเป็นความลับเฉพาะระหว่างบ่าวกับพระเจ้าของเขา”

หมายความว่า พระองค์อัลเลาะฮ์ทรงรู้ถึวข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความไม่สามารถในการถือศีลอดของเขา

เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีความปรเสริฐยิ่งเพราะว่าพระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงเริ่มประทานคัมภีร์อัลกุรอานลงในเดือนนี้ เพื่อให้เป็นทางนำเเละเป็นหลักฐานอันชัดเเจ้งเพื่อให้ท่านนบีมูฮำหมัด ซ.ล. นำมาประกาศเผยเเพร่
พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดการถือศีลอดสำหรับผู้ที่อยู่ในภูมิลำเนาไม่ใช่ผู้เดินทาง เมื่อเขาเห็นดวงจันทร์ค่ำเเรกของเดือนรอมฎอน ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า

“ดังนั้น ผู้ใดในพวกสูเจ้ารู้ว่า เข้าเดือน (รอมฎอน) เขาจงถือศีลอด”

อิมามอิบนิกะซีร ได้กล่าวไว้ในหนังสืออธิบายอัลกุรอานของท่านว่า “นี่เป็นการกำหนดบังคับอย่างเด็ดขาดต่อผู้ที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว จะต้องถือศีลอดในเมื่อเขามิได้เดินทางเเละมีสุขภาพดีไม่เจ็บป่วย”
เชคมูฮำหมัด อะหมัด อัลอิดวี ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่อ “การเชิญชวนไปสู่อัลเลาะฮ์ของบรรดาศาสนา” หน้าที่ 499 ว่า

“อายะฮ์นี้พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงชี้เเจงให้เราทราบว่า ผู้ที่รู้ว่าเข้าเดือนรอมฎอนเเล้วเช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตอบอุ่นเเละเขตร้อน พวกเขาถูกบังคับให้ถือศีลอดในเดือนนี้ ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในเเถบขั้วโลก พวกเขามีกลางวันครึ่งปีเเละกลางคืนครึ่งปี พวกเขาจะไม่พบกับดวงจันทร์ต้นเดือนรอมฎอนเลยในกรณีนี้ บรรดานักปราชญ์มีความเห็นว่าให้พวกเขาคำนวณเพื่อกำหนดเดือนรอมฎอน เเล้วถือศีลอด”

พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงประทานศาสนาอิสลามมา เเละได้บัญญัติอิบาดะฮ์ต่างๆเพื่อให้บรรดามุสลิมปฏิบัติ มิใช่เพื่อสร้างความลำบากยาก พระองค์ทรงตรัสว่า

“พระองค์ทรงต้องการให้สูเจ้าทั้งหลายได้รับความสะดวกสบาย เเละทรงไม่ต้องการให้พวกสูเจ้าได้รับความยากลำบาก” (ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ /185)

ท่านรอซูล ซ.ล. กล่าวว่า
“แท้จริงฉันถูกส่งมาพร้อมด้วยศาสนาเเห่งการนอบน้อมที่สะดวกง่ายดาย”

พระองค์อัลเลาะฮ์ที่ได้ทรงบังคับให้ผู้ถือศีลอดรำลึกถึงพระองค์ ขอบคุณพระองค์ สดุดีในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และขอพร (ดุอาอ์) ต่อพระองค์ ทั้งในยามเช้า ยามเย็นเเละก่อนการเเก้ศีลอด พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงตรัสไว้ในอายะฮ์ต่างๆเกี่ยวกับการถือศีลอดว่า

“เเละเมื่อบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้า เเท้จริงข้าอยู่ใกล้ ข้าจะตอบต่อคำขอของผู้ที่ขอ เมื่อเขาขอต่อข้า ดังนั้น เขาจงวิงวอนขอต่อข้าเถิด เเละเขาจงศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการนำทาง”
ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์/ 186

การวิงวอนขอดุอาอ์จากพระองค์อัลเลาะฮ์ไม่ต้องมีนายหน้าหรือสื่อกลางที่จะวิงวอนขอต่อพระองค์ เเละไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆในการขอดุอาอ์ หากเเต่ขึ้นอยู่กับความหวังและพรประสงค์ของพระองค์
พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงกล่าวถึงมารยาทในการขอดุอาอ์ไว้ว่า

“สูเจ้าทั้งหลายจงวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าของสูเจ้าโดยมีความนอบน้อมและแบบค่อยๆ เเท้จริง พระองค์ไม่ทรงรักผู้ที่ละเมิด เเละสูเจ้าทั้งหลายจงอย่าก่อความเสียหายในแผ่นดิน หลังจากที่ได้ปรับปรุงมัน เเละสูเจ้าวิงวอนขอต่อพระองค์ โดยมีความหวาดกลัว และมีความหวัง (ในการตอบรับดุอาอ์) แท้จริง ความเมตตาของพระองค์อัลเลาะฮ์อยู่ใกล้กับบรรดาผู้กระทำความดี”
ซูเราะฮ์ อัลอะอ์ร้อฟ / 55-56

ท่านอบู มูซา อัลอัชอะซีย์ ได้รายงานไว้ในหนังสืออซอเฮียะห์บุคอรี เเละซอเฮียะห์มุสลิม จากท่านรอซูล ซ.ล. ได้กล่าวกับผู้ที่ตะโกนขอดุอาอ์ว่า

“ประชาชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงขอดุอาอ์ภายในใจของพวกท่าน เเท้จริงท่านทั้งหลายมิได้วิงวอนขอต่อผู้ที่หูหนวกหรือผู้ที่ไม่อยู่ เเต่ทว่าท่านทั้งหลายได้วิงวอนขอต่อผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงอยู่ใกล้”

ท่านอิบนิกะซีร ได้กล่าวซึ่งถ้อยคำที่ดีไว้ว่า
“บรรดามุสลิมได้วิงวอนขอต่อพระองค์อัลเลาะฮ์อย่างมาก ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของการขอดุอาอ์ของพวกเขา นอกจากเป็นเพียงเสียงกระซิบระหว่างเขากับพระเจ้าของเขา โดยเหตุนี้พระองค์อัลเลาะฮ์จึงตรัสว่า สูเจ้าทั้งหลายได้วิงวอนขอต่อพระเจ้าของสูเจ้าทั้งหลายด้วยความนอบน้อมเเละเเบบค่อยๆและพระองค์ได้ทรงกล่าวถึงการรำลึกถึงพระองค์ของบ่าวที่ดีท่านหนึ่งว่า ครั้นเมื่อเขาได้วิงวอนต่อพระเจ้าของเขา อันเป็นการวิงวอนที่ค่อยๆ บรรดามุมินจะวิงวอนขอต่ออัลเลาะฮ์ โดยที่เขามีความเชื่อมั่นในการตอบแทนของพระองค์ เเละเขาจะไม่มีความท้อแท้ใจในการตอบสนองการขอดุอาอ์เเละความเมตตาของพระองค์”

พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดระยะเวลาในการถือศีลอดในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งไว้ หลังจากที่พระองค์กำหนดเดือนรอมฎอน เป็นเดือนเเห่งการถือศีลอด พระองค์ทรงตรัสว่า
“สู้เจ้าทั้งหลายจงกินจ งดื่ม จนกระทั่งด้ายขาว (ความสว่าง) ประจักษ์เเจ้งจากด้ายดำ (ความมืด) ของรุ่งอรุณเเก่พวกสูเจ้า แล้วสูเจ้าทั้งหลายจงทำให้การถือศีลอด ครบสมบูรณ์จนถึงยามค่ำคืน”

ในหนังสือซอเอียะห์บุคอรีเเละมุสลิม จากท่านอนัสและท่านเชค บินซาบิต รฏิร กล่าวว่า
เราได้รับประทานอาหารสะฮูรร่วมกับท่านรอซูล ซ.ล. แล้วเราก็ลุกขึ้นไปละหมาด อนัสได้กล่าวกับเชคว่า ระยะเวลาห่างกันเท่าไรระหว่างอะซานเเละอาหารซะฮุร? ท่านกล่าวว่า “ระยะเวลาอ่านอัลกุรอาน ประมาณ 50 อายะฮ์”
ท่านรอซูลเรียกร้องให้ล่าช้าในการรับประทานอาหารสะฮูร เเละให้รีบเเก้ศีลอดเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมื่อเเก้ศีลอดเรียบร้อยเเล้วก็อนุญาตให้มุสลิมปฏิบัติสิ่งต่างๆได้ตามความปราถนา เช่น การหลับนอนฉันสามีภรรยา ดังอายะฮ์ที่ว่า
“การร่วมหลับนอนกับภรรยาของสูเจ้าทั้งหลายในค่ำคืนของเดือนรอมฎอนเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกสูเจ้า นางเหล่านั้นคืออาภรณ์ของพวกสูเจ้า เเละสูเจ้าทั้งหลายก็เป็นอาภรณ์สำหรับนางเหล่านั้น พระองค์อัลเลาะฮ์ทรงรู้ว่าสูเจ้าทั้งหลายได้หลอกลวงตัวของสูเจ้าเอง เเล้วพระองค์ก็ทรงอภัยและทรงยกโทษให้เเก่พวกสูเจ้า ขณะที่สูเจ้าทั้งหลายร่วมหลับนอนกับนางเเละจงเเสวงหาสิ่งที่พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงกำหนดให้เเก่พวกสูเจ้า”
ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ / 187

นี่คือ การพิเคราะห์อายะฮ์ต่างๆเกี่ยวกับการถือศีลอดโดยสรุปซึ่งเป้าหมายในการบำบัดโรคภายในจิตใจและเป็นทางนำภายในหัวใจของผู้พินิจพิจารณา เเละผู้ที่เฝ้ารอคอยการมาของเดือนรอมฎอน เพื่อเขาจะได้ปฏิบัติอิบาดะฮ์ต่อพระองค์อัลเลาะฮ์ ได้รับความเมตตาเเละความโปรดปรานจากพระองค์ในเดือนนี้ เป็นการเพียงพอเเล้วสำหรับท่านที่จะต้อนรับเดือนดังเช่นการต้อนรับเดือนนี้ของมะลาอิกะฮ์ว่า

“โอ้ ผู้ที่ปราถนาจะทำความชั่วจงหยุดยั้งเถิด โอ้ ผู้ที่ปราถนาจะทำความดีจงรีบเร่งเถิด”


โดย เชค มุเอาวัฎ อวัฎ อิบรอฮีม

รอมฎอน อัล-มุบารอก

ขอต้อนรับเดือนรอมฎอน

โดย เชคหะซัน มะมูน อิหม่ามใหญ่ของอัลอัซฮัร

บรรดาหนังสือชีวประวัติของท่านนบีมูฮำหมัดเเละหนังสือฮาดิษ ท่านนบีมูฮำหมัด บิน อับดุลเลาะห์ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ ได้ปล่อยภรรยาเเละลูกๆของท่านอยู่ตามลำพัง และท่านได้ใช้เวลาค่ำคืนส่วนใหญ่ภายในถ้ำหิรออ์ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองมักกะฮ์ ท่านอยู่ในถ้ำเพียงคนเดียว โดยพินิจพิจารณาถึงธรรมชาติที่อยู่โดยรอบ เพื่อที่จะค้นหาความจริงที่บุคคลส่วนมากได้หลงผิด พวกพ้องของท่านแกะสลักเเล้วนำไปตั้งไว้โดยรอบกะอ์บะฮ์ ทุกเผ่าจะเคารพสักการะรูปเจว็ดของตนเมื่อท่านเห็นเช่นนั้น จึงคัดค้านต่อการบูชาเจว็ดดังกล่าว ซึ่งมันไม่ให้โทษหรือยังประโยชน์อันใดมันไม่ได้บังเกิดมนุษย์หรือสัตว์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติ ท่านได้พิจารณาในจักรวาลอันกว้างใหญ่ เเละพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงในศาสนาอื่นๆ ท่านได้เห็นชนกลุ่มหนึ่งเคารพภักดีต่ออัลเลาะฮ์ตามเเนวทางของท่านนบีมูซา เเละอีซาในตอนเเรกท่านก็มีความเสื่อมในศรัทธาในศาสนาดังกล่าว เเต่ต่อมาท่านก็ปฎิเสธต่อความเชื่อถือของกลุ่มชนผู้ดำเนินตามท่านนบีมูซาที่ว่าอุไซร์ เป็นบุตรของอัลเลาะฮ์และปฎิเสธต่อกลุ่มชนผู้ดำเนินตามนบีอีซาซึ่งเชื่อว่านบีอีซา (เยซู)เป็นบุตรของอัลเลาะฮ์ ท่านปฎิเสธลัทธิที่มีมลทินโดยที่มีความเชื่อมั่นว่าจะต้องมีพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์อย่างแน่นอนท่านได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวภายในถ้ำฮิรออ์ ท่ามกลางความวิเวกวังเวงเเละห่างไกลความอึกทึกของผู้คนและการงานอันยุ่งยาก ท่านได้ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาการเกิดของจักรวาล บรรดาพืช สัตว์ มนุษย์ตลอดจนสรรพสิ่งต่างๆ

ขณะที่ท่านครุ่นคิดอย่างด่ำดื่มในคืนหนึ่ง –คืนหนึ่งในเดือนรอมฎอน – ท่านได้เห็นภาพมะลาอิกะฮ์โดยที่เขาได้กล่าวกับท่านว่า “จงอ่าน” ท่านนบีได้กล่าวตอบว่า “ฉันอ่านไม่เป็น” มะลาอิกะฮ์ท่านนั้นก็สวมกอดท่านจนกระทั่งเกิดความอึดอัดเเล้วเขาก็ปล่อยพร้อมกับกล่าวอีกว่า “จงอ่าน” ท่านนบีได้กล่าวว่า “ฉันอ่านไม่เป็น” เขาก็เข้าสวมกอดท่านรอซูล เขาทำเช่นนี้ 3 ครั้ง จึงสอนให้ท่านบีมูฮำหมัดอ่านว่า
“(มูฮำหมัด) จงกล่าวอ่านด้วยพระนามของอัลเลาะฮ์ ผู้ทรงบังเกิด พระองค์ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด (มูฮำหมัด) จงอ่าน โดยที่พระผู้อภิบาลของสูเจ้าผู้ทรงเกียรติยิ่ง พระองค์ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้” (ซูเราะฮ์ อัล อะลัก อายะฮ์ที่ 1-4)

ท่านนบีได้อ่านตามที่ได้ยินมา เหมือนกับว่าถ้อยคำนั้นถูกสลักไว้ในหัวใจของท่าน เมื่อมะลาอิกะฮ์ ท่านนั้นไปแล้ว ท่านนบีมูฮำหมัด ก็ทบทวนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสิ่งที่ท่านได้ยิน ท่านรำพึงว่า นั่นเป็นความฝันหรือเปล่าหรือเป็นวะฮีย์ที่มีมายังท่าน เมื่อท่านมีความตระหนกเเละมีความกระวนกระวายใจมากขึ้น ท่านจึงได้รีบออกจากถ้ำ เมื่อท่านมองขึ้นไปยังฟากฟ้า ก็เห็นมาลาอิกะฮ์ท่านนั้นอยู่บนฟากฟ้า ท่านจึงตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รีบวิ่งกลับบ้าน เมื่อไปถึงก็ได้กล่าวกับภรรยาของท่านว่า จงเอาผ้าห่มให้ฉัน จงเอาผ้าห่มให้ฉัน นางคอดียะฮ์จึงนำเอาผ้ามาห่มให้และได้ปลอบใจจนกระทั่งคลายความกลัว ท่านจึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นางฟัง นางจึงกล่าวว่า “จงรับการบอกข่าวดี โอ้ลูกของลุงฉันและจงมีความมั่นคง ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของคอดียะฮ์ อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ฉันหวังว่าท่านจะเป็นศาสดาของประชาชาตินี้เเละขอสาบานด้วยอัลเลาะฮ์ พระองค์มิได้ทรงทำให้ท่านต่ำต้อยเเต่อย่างใด เเท้จริงท่านก็มีความสำคัญกับเครือญาติเเละพูดจริง ท่านเเบกภาระของผู้อ่อนเเอ เเละช่วยเหลือเพื่อดำรงความจริง”

ท่านนบีมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ท่านพบเห็นนั้นไม่ใช่การฝัน เเต่ทว่านั้นคือ วะฮีย์ ของอัลเลาะฮ์ที่พระองค์ได้ทรงประทานมายังศาสดาทั่งหลาย ท่านได้คิดถึงสิ่งที่ท่านได้รับฟังมาเเละรู้ว่า นั้นเป็นความจริงที่ท่านพยายามค้นหา เเท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านคือ พระผู้อภิบาลทุกสิ่ง พระองค์คือผู้ทรงบังเกิด พระองค์ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด เเละทรงทำให้ท่านรู้จักการอ่าน คัมภีร์อัลกุรอาน

คืนหนึ่งของเดือนรอมฎอนที่อัลกุรอานโองการเเรกได้ถูกประทานมานั้นคือ คืนอัลก้อดร์ (ลัยละตุลก้อดร์) ซึ่งถือได้ว่าคืนนี้เป็นคืนที่มีรัศมีของอิสลามเริ่มฉายเเสงขึ้น ต่อมารัศมีของอิสลาม ซึ่งมีอัลกุรอานเป็นสื่อกลางได้เเผ่กระจายไปทั่วจักรวาล เเละทำให้หัวใจของผู้ที่ได้รับรัศมีของอิสลามเปี่ยมล้นไปด้วยการอีหม่าน (การศรัทธา) การตั๊กวา (การยำเกรงอัลเลาะฮ์) ในที่นี้จึงสมควรที่เราจะอ่านอายะฮ์กุรอานเพื่อต้อนรับเดือนที่มีเกียรติที่สุดนี้ คืออายะฮ์ที่ว่า

“เดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่คัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานมาเพื่อเป็นทางนำเเก่บรรดามนุษย์เเละเป็นการเเสดงให้ปรากฎจากทางนำ เเละการจำเเนกความจริงเเละความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในพวกท่านที่เข้าอยู่ในเดือนนี้ เขาจงถือศีลอดเเละผู้ใดที่เจ็บป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือศีลอดในวันอื่น พรองค์อัลเลาะฮ์ทรงต้องการให้ความง่ายดายเเก่สูเจ้าทั้งหลาย เเละไม่ทรงต้องการให้พวกสูเจ้าได้รับความยากลำบาก” ซูเราะฮ์ อัล บากอเราะฮ์/ 185
และในซูเราะฮ์ อัลก๊อดร์ กล่าวคือ

“เเท้จริงเรา (อัลเลาะฮ์) ได้ประทานอัลกุรอานในคืนก๊อดร์ สิ่งใดที่ทำให้สูเจ้ารู้ว่าคืนอัลก๊อดร์เป็นคืนอะไร คืนอัลก๊อดร์ดีกว่าหนึ่งพันเดือน โดยที่มะลาอิกะฮ์เเละวิญญาณ (ญิบรีล) ได้ลงมาในคืนนี้ด้วยการอนุญาตของพระผู้อภิบาลของพวกเขา พร้อมด้วยทุกกิจการ ความสันติมีอยู่ในคืนนี้ จนกระทั่งเเสงอรุณขึ้น”

ซูเราะฮ์อัดดุคอน กล่าวว่า
“ฮามีม ขอสาบานด้วยคัมภีร์ที่ชัดเเจ้ง เเท้จริงเรา (อัลเลาะฮ์) ได้ประทานคัมภีร์นี้ในคืนที่มีความจำเริญ เเท้จริงเราเป็นผู้ตักเตือน ในคืนนี้ ทุกกิจการที่เด็ดขาดได้ถูกจำเเนกอันเป็นกิจการของเรา เเท้จริง เราคือผู้ส่งมา ซึ่งเป็นความเมตตาจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า แท้จริงพระองค์คือ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้” (อายะฮ์ที่ 1-6)

ในคืนนี้ พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงประทานความโปรดปรานรัศมีของอิสลามมายังโลกที่มีเเต่ความปั่นป่วนยุ่งเหยิง รัศมีนี้คือ คัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งจะนำมนุษย์ไปสู่ความจริงเเละทำให้เขาออกห่างจากการหลงผิด การตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์ การเคารพบูชาต่อสิ่งอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์ เเละทำให้ท่านนบีผู้อ่านไม่ออก เขียนไม่เป็น ได้เปิดหัวใจของมนุษยชาติเพื่อบรรจุใส่การศรัทธา เเละความดีงาม มีหลักศรัทธาที่ถูกต้อง มีจิตใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งบรรดามุสลิมไม่อาจจะละเลย ภาพพจน์ที่สว่างไสวนี้ได้ ภาพพจน์ในคืนที่พระองค์อัลเลาะฮ์ได้ทรงให้เกียรติต่อนบีมูฮำหมัด บุตรของอับดุลเลาะฮ์ ซ.ล. บ่าวของพระองค์ โดยการประทานอายะฮ์เเรกของคัมภีร์อัลกุรอาน เเละติดตามด้วยอายะฮ์อื่นๆ กระทั่งอายะฮ์สุดท้าย คือ

“วันนี้ ข้า (อัลเลาะฮ์) ได้ทำให้ศาสนาของสูเจ้าทั้งหลายครบสมบูรณ์สำหรับพวกสูเจ้า เเละข้าได้ทำให้ความโปรดปรานของข้าที่มีต่อสูเจ้าทั้งหลายครบครัน เเละข้าพอใจให้อิสลามเป็นศาสนาของสูเจ้าทั้งหลาย” (ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮ์/ 3)
อายะฮ์นี้ได้ถูกประทานมายังท่านรอซูล ซ.ล. ขณะที่ท่าน วุกุ้ฟ ณ ทุ่งอะรอฟะฮ์ในฮัจญีอำลา